งานศิลปะไทยร่วมสมัยที่เป็นอัตลักษเฉพาะตัว ทั้งงานสถาปัตยกรรม, ประติมากรรมปูนปั้น และงานจิตรกรรมไทย
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2430 มีชาวบ้านเข้ามาจับจองที่ดินทำไร่ทำนาบริเวณบ้านร่องขุ่นในปัจจุบันเพียงไม่กี่หลังคาเรือน โดยอาศัยลำน้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงสู่แม่น้ำแม่ลาวซึ่งมีลักษณะสีขุ่นเลี้ยงชีพ ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า “บ้านฮ่องขุ่น” (ร่องขุ่น) มาโดยตลอด วัดร่องขุ่นจึงถือกำเนิดครั้งแรก ณ ริมฝั่งน้ำแม่ลาวด้านทิศตะวันตกใกล้กับลำน้ำแม่มอญ ซึ่งอยู่เลยลำน้ำร่องขุ่นไปทางทิศใต้ประมาณ 500 เมตร โดยชาวบ้านได้อาราธนานิมนต์พระทองสุข บาวิน จากวัดสันทรายน้อย หมู่ 13 มาเป็นเจ้าอาวาสต่อมาเกิดน้ำเซาะตลิ่งพังจนไม่สามารถรักษา ศาสนสถานไว้ได้ มาจนถึงสมัยของคุณพ่อหมี แก้วเลื่อมใส เป็นผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันกับชาวบ้านย้ายวัดมาตั้งอยู่ในบริเวณหัวนาของท่าน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนด้านทิศตะวันตกติดกับลำน้ำร่องขุ่น จากนั้นไม่นานพระทองสุขได้ย้ายออกจากวัด จึงเหลือเพียงสามเณร 3 รูป ในจำนวนนี้มีสามเณร ทา ดีวรัตน์ ได้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส นายทาเป็นผู้ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ จึงได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และสุดท้ายได้เป็นกำนันประจำตำบลบัวสลี กำนัน ทา ดีวรัตน์ เห็นว่าหมู่บ้านใหญ่ขึ้นผู้คนมากหลาย วัดวาคับแคบ อีกทั้งเป็นที่ลุ่มใกล้ลำน้ำ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน กำนันและคณะศรัทธาจึงได้ทำการย้ายวัดมาตั้งอยู่บนที่ดินในปัจจุบันนี้โดยนางบัวแก้ว ภรรยากำนันทา เป็นผู้ยกที่ดินให้สร้างวัดจำนวน 4 ไร่เศษ เมื่อแล้วเสร็จจึงร่วมกันเดินทางไปอาราธนานิมนต์ พระดวงรส อาภากโร จากวัดมุงเมือง อำเภอเมืองเชียงราย มาเป็นเจ้าอาวาส โดยมีพระครูพุทธิสารเวที (แฮด เทววํโส) เป็นผู้แนะนำในยุคสมัยพระดวงรส อาภากโร เป็นเจ้าอาวาส วัดเจริญรุ่งเรืองมาก มีพระจำพรรษาถึง 4 รูป สามเณรร่วม 10 รูปแม่ชี 2 คน กาลเวลาล่วงไปหลายพรรษา พระดวงรสได้ย้ายไปอยู่วัดอื่น ทำให้วัดร่องขุ่นขาดผู้นำคณะสงฆ์ คณะศรัทธาจึงได้ร่วมกันเดินทางไปพบเจ้าคณะอำเภอเมืองเชียงรายเพื่อขอพระภิกษุมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคณะอำเภอฯ ได้ส่งพระอินตา มาอยู่จำพรรษา แต่อยู่ได้เพียงพรรษาเดียว พระอินตาก็ย้ายไปอยู่วัดอื่น คณะศรัทธาชาวบ้านจึงได้เดินทางไปวัดสันทรายน้อยอีกครั้ง

เพื่อขออาราธนานิมนต์ พระไสว ชาคโร มาเป็นเจ้าอาวาส เมื่อปี พ.ศ. 2499 พระไสว ชาคโร เป็นพระที่คณะศรัทธาในหมู่บ้านและต่างแดนเลื่อมใสมาก ท่านได้สร้างอุโบสถในปี พ.ศ. 2507 ต่อมา พระไสว กำนัน เป็ง ไชยลังกา พร้อมคณะศรัทธาอาราธนาพระพุทธรูปหินโบราณ จากหมู่บ้านหนองสระ อำเภอแม่ใจ มาเป็นพระประธานในอุโบสถ ปี พ.ศ. 2520ขณะที่วัดร่องขุ่นเจริญรุ่งเรืองด้วยคณะศรัทธาชาวไทยและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน และบ้างก็แยกย้ายกันออกไปอยู่ต่างถิ่น เมื่อร่ำรวยแล้วก็หวนกลับมาช่วยกันทำนุบำรุงรักษาวัดตามอัตภาพ ทั้งยังมีคณะศรัทธาต่างถิ่นที่เลื่อมใสศรัทธาในพระไสวเป็นจำนวนมาก ได้เดินทางมาร่วมทำบุญ ในการก่อสร้าง ศาสนสถาน จนแล้วเสร็จทั้งหมด ด้วยความเป็นพระนักพัฒนา ปี พ.ศ. 2537 พระไสวได้รับแต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูชาคริยานุยุต ในปี พ.ศ. 2538 พระครูชาคริยานุยุต ได้ทำการก่อสร้างศาลาอบสมุนไพรขึ้น เพื่อหวังให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ของวัดเพื่อสังคม แต่ท่านได้อาพาธด้วยโรคอัมพฤกษ์และอัมพาตเสียก่อน จึงล้มเลิกโครงการไป ในปีเดียวกันคณะศรัทธาวัดร่องขุ่นมีความเห็นว่าอุโบสถที่สร้างมาร่วม 38 ปี อยู่ในสภาพทรุดโทรมากใช้ทำการสังฆกรรมไม่ได้ กลับเป็นที่อยู่ของค้างคาวฝูงใหญ่ จึงคิดจะสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2538 จึงได้ทำพิธีรื้อถอนอุโบสถ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 วันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 ได้เริ่มลงมือก่อสร้างอุโบสหลังปัจจุบัน แต่เสร็จเพียงแค่โครงสร้างตัวอุโบสถองค์กลางเท่านั้น ปัจจัยของวัดเริ่มขาดแคลน เพราะภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในปี พ.ศ. 2540 อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตกรผู้มีชื่อเสียงระดับชาติ ซึ้งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนบ้านร่องขุ่นโดยกำเนิด ได้ปวารณาตนเข้ามาสานต่อเพื่อสร้างอุโบสถถวายเป็นพระพุทธบูชาหวังให้เป็น “งานศิลป์เพื่อ แผ่นดิน” ด้วยปัจจัยของท่านเอง โดยพระครูคริยานุยุต และคณะศรัทธา ชาวบ้านไม่ต้องลำบากในการหาเงินมาสร้างวัดในภาวะเศรษฐกิจของชาติ ที่กำลังตกต่ำ อาจารย์เฉลิมชัย ได้เข้ามาทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมแบบแปลนตามปรารถนาของท่าน จนทำให้วัดร่องขุ่นสวยงามประทับใจผู้คน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มาเยี่ยมชม จากวัดร่องขุ่นที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเป็นที่เชิดหน้าชูตาของจังหวัดและประเทศชาติ

อาจารย์ เฉลิมชัย ได้รับอนุญาตจาก ท่านเจ้าอาวาส และ คณะศรัทธาชาวบ้าน ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในวัดร่องขุ่นทุกหลัง ไม่ว่าจะเป็น ศาลา กุฎิพระ หอฉัน ศาลาอบสมุนไพร ซุ้มประตูทางเข้าวัด ประปาหมู่บ้าน และกำแพงวัด เพื่อปรับภูมิทัศน์ให้สวยงามจากที่เดิมของวัด 4 ไร่ 3 งาน 76.3 ตารางวา อาจารย์ได้ซื้อที่ดินเพิ่ม เป็น 81 ไร่ 3 งาน 28.4ตารางวา เพื่อขยายวัดร่องขุ่นให้งดงามอลังการด้วยมวลหมู่สถาปัตยกรรมไทยร่วมสมัยที่วิจิตรพิสดาร ซึ่งประกอบไปด้วย อุโบสถหอพระธาตุ สะพายสุขาวดีหอพระพุทธรูป กุฎิพระ หอชำระกาย หอธรรมหลวง เมรุ ศาลาประกอบพิธี หอพระพิฆเนศ หอศิลป์ อาคารจำหน่ายของที่ระลึก ห้องน้ำทอง ห้องน้ำสากล ซุ้มประตูหลวง อาคารรับรองอเนกประสงค์ และพื้นที่จอดรถกว่า 500 คัน ท่านอาจารย์เฉลิมชัยได้ตั้งจิตอธิษฐานขอถวายตนรับใช้พระพุทธศาสนาตั้งแต่อายุได้ 42 ปี (พ.ศ. 2540)ท่านอุทิศตนหาเงินสร้างวัดร่องขุ่นด้วยตนเอง พร้อมประกาศไม่ขอรับเงินบริจาคจากใคร ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ด้วยความ วิริยอุตสาหะ พากเพียร อดทนของท่าน ทำให้วัดร่องขุ่นที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นวัดสีขาว ที่โด่งดังไปทั่วโลก เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่จังหวัดเชียงรายและประเทศชาติ อาจารย์เฉลิมชัยพูดเสมอว่าท่านต้องการที่จะเป็นตัวอย่างของคนดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศ ที่อุทิศชีวิตเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก แก่ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ มวลมนุษย์ชาติของโลกอันเป็นที่รักยิ่งของท่านจวบจนสิ้นลมหายใจ ณ วัดร่องขุ่นแห่งนี้